สำหรับผู้ที่กำลังมีปัญหาผมร่วงผมบาง คงคุ้นหูกับยาปลูกผม Minoxidil กันมาบ้างใช่ไหมคะ เพราะไม่ว่าจะไปปรึกษากับแพทย์เชี่ยวชาญด้านผมที่คลินิกไหน ก็มักจะมีการแนะนำให้ใช้ยาชนิดนี้เป็นอันดับแรก ๆ แล้วการใช้ยาไมน็อกซิดิล นั้นทำให้ผมขึ้นจริงไหม วันนี้เรามาไขข้องข้องใจไปพร้อมกันค่ะ
ทำความรู้จัก ยาปลูกผม Minoxidil คืออะไร?
ยาปลูกผม Minoxidil เป็นยาที่ออกฤทธิ์เปิดช่องโพแทสเซียมที่ผนังหลอดเลือดแดง ส่งผลให้หลอดเลือดแดงเกิดการคลายตัว ซึ่งผลที่ตามมาคือความดันโลหิตจะลดลง เดิมทีจึงมีการนำมาใช้เป็นยารักษาโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งถือเป็นยาที่ค่อนข้างมีความแรง จึงมีข้อบังคับว่าจะต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
ต่อมามีการพบว่ายาตัวนี้ส่งผลให้ผู้ป่วยส่วนมากมีขนยาวขึ้นตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย แถมผู้ป่วยที่มีอาการหัวล้านก็เกิดเส้นผมงอกขึ้นเมื่อใช้ยาติดต่อกันเป็นระยะเวลา 4-6 เดือนด้วยผลข้างเคียงของยาไมน็อกซิดิล ต่อมาจึงมีการพัฒนาและนำไปผลิตเป็นยาปลูกผม โดยพัฒนาเป็นทั้งแบบรับประทานและแบบยาทาเฉพาะที่ค่ะ
ยาปลูกผม Minoxidil มีกี่แบบ?
ในปัจจุบันยา Minoxidil จะมีทั้งหมด 2 แบบ ซึ่งเราจะมาอธิบายถึงไมน็อกซิดิลให้เพื่อน ๆ ทราบกันว่าเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร มาดูกัน
1. ยาไมน็อกซิดิลแบบเม็ด

ยา Minoxidil แบบเม็ด เนื่องจากวิธีการใช้คือการรับประทานจึงทำให้ตัวยาสามารถละลายและถูกดูดซึมตัวยาได้เร็วกว่า เห็นผลไวกว่า จึงทำให้มองเห็นประสิทธิภาพของยาได้ชัดเจนกว่าการใช้ยาไมน็อกซิดิลแบบทาภายนอกค่ะ แต่การรับประทานยาไมน็อกซิดิลนั้นผู้ทานจะไม่สามารถกำหนดจุดที่ขึ้นของผมและขนได้ จึงทำให้ผู้ที่รับประทานยาไมน็อกซิดิลมีขนขึ้นตามตัวเยอะไปด้วย
2. ยาไมน็อกซิดิลแบบยาทาภายนอก
ยา Minoxidil แบบยาทาภายนอก มีจุดเด่นที่สำคัญเลยคือผู้ที่ใช้ยาสามารถกำหนดจุดที่ต้องการให้ผมขึ้นได้ ถ้าหากอยากให้ผมหรือขนขึ้นที่บริเวณไหนก็เลือกทาในบริเวณนั้น ๆ โดยในปัจจุบันมีการพัฒนาให้เป็นยาใช้ภายนอกที่มีความหลากหลายทางรูปแบบมาก เช่น แบบโฟม แบบน้ำ แบบ Dropper เป็นต้น

วิธีการใช้ยาก็ไม่ยาก เพียงแค่ทายาปลูกผมไมน็อกซิดิลบริเวณโคนผมโดยพยายามให้โดนหนังศีรษะโดยตรงมากที่สุด และนวดวนจนกว่าตัวยาจะซึมลึกเข้าสู่รูขุมขนและบริเวณรากผม เมื่อยาไมน็อกซิดิลซึมเข้าสู่รูขุมขนบริเวณหนังศีรษะ ตัวยาจะออกฤทธิ์ช่วยขยายหลอดเลือดบริเวณศีรษะทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น ส่งผลให้สารอาหารที่มากับเลือดนั้นมาหล่อเลี้ยงบริเวณรากผมได้ดีขึ้น และทำให้ผมเติบโตแข็งแรง
โดยมีข้อเสียคือมักมีผู้ใช้ยาบางท่านมีการใช้ยาผิดบริเวณ โดยทายาไม่ถึงบริเวณหนังศีรษะหรือมีการนำไปใช้ชโลมเส้นผมเหมือนการใช้ทรีตเม้น ซึ่งเป็นการใช้งานที่ผิดพลาดเพราะนอกจากตัวยาจะไม่มีการดูดซึมไปถึงรากผมแล้ว ยังอาจทำให้เส้นผมแข็งกระด้างเนื่องจากมีตัวยาไปเคลือบอยู่อีกด้วย
ยาปลูกผมที่นิยมใช้คือ Minoxidil และ Finasteride
สำหรับคนที่กำลังหาข้อมูลเรื่องการปลูกผมถาวรนั้นเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ยาที่เกี่ยวกับเส้นผมมีอะไรบ้าง แต่เรามั่นใจได้เลยว่ายังมีผู้หญิงผู้ชายอีกหลายคนที่ยังไม่ทราบรายละเอียดตื้นลึกว่าตัวยาปลูกผม Minoxidil นั้นคุณหมอจะจ่ายยาให้กับใครบ้าง

Finasteride ผู้ชายจะสามารถทานยาได้ทั้ง 2 ชนิดแต่ถ้าแต่ถ้าเกิดเป็นผู้หญิงที่มีเส้นผมที่บาง คุณหมอจะไม่จ่ายยา Finasteride ให้ในวัยเจริญพันธุ์ สาเหตุเนื่องมาจากยานี้อาจส่งผลกระทบต่อการพัฒนาของตัวอ่อนได้หากหญิงมีครรภ์หรือกำลังว่างแผนจะมีครรภ์รับประทานเข้าไป
ซึ่งจะทำให้เกิดความผิดปกติในทารกได้ และอาจทำให้บุตรที่กำลังจะเกิดมามีความพิการหรือมีอวัยวะเพศที่ผิดปกติได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าผู้หญิงจะทานยาชนิดนี้ไม่ได้เลยซะทีเดียว คุณหมอจะจ่ายยาชนิดนี้ให้กับผู้หญิงที่หมดประจำเดือนแล้วเท่านั้นหรือคนที่ไม่มีแผนที่บุตรในอนาคต (ยานี้ใช้ได้กับแค่ผู้หญิงบางคน) ดังนั้นผู้หญิงที่ผมบางคุณหมอจะจ่ายแค่ Minoxidil เพียงชนิดเดียวเท่านั้น เพราะได้รับการรับรองให้ใช้ในการรักษาผมร่วงผมบางในผู้หญิงได้

ยา Minoxidil มีให้เลือกทั้งแบบรับประทานและแบบทา ซึ่งยาทาเหมาะกับผู้หญิงที่ไม่ชอบทานยาหรือไม่สามารถทานยาชนิดนี้ได้
*หมายเหตุ : กรณีไหนที่ยาปลูกผมช่วยไม่ได้ ในกรณีที่หัวล้านไปแล้วหรือไม่มีเส้นผมในบริเวณนั้นแล้วต่อให้ทานยา ทายา Minoxidil หรือทำทรีตเม้นท์อื่น ๆ ผมก็ไม่มีผล เพราะหนังศีรษะในบริเวณนั้นไม่มีรากผมให้บำรุงแล้ว สิ่งที่ทำได้ในบริเวณที่ศีรษะล้านไม่มีรากผมแล้วก็คือการปลูกผมนั่นเอง
ปลูกผมถาวร ตัวช่วยรักษาผมร่วง ผมบาง หัวล้าน
เมื่ออ่านมาจนถึงตรงจุดนี้แล้วเราทุกคนคงพอทราบกันแล้วไหมคะว่ายา Minoxidil นั้นมีประโยชน์ต่อเส้นผมหรือหนังศีรษะอย่างไร

สำหรับใครที่มีปัญหาเส้นผม เช่น แนวผมด้านหน้าเถิกลึกก่อนวัย ผมบางกระจายเป็นวงกว้าง จนมองไม่เห็นทางออกแม้ว่าจะลองทานยาแล้วแต่ก็ยังไม่ช่วย อันนี้ขอแนะนำให้เข้ามาพบคุณหมอเพื่อทำการปรึกษาและปลูกผมถาวรเพื่อแก้ปัญหาหัวล้านผมบางกรรมพันธุ์ คนที่มีปัญหาด้านเส้นผมส่วนใหญ่จะมีจุดเริ่มต้นจากผมร่วงก่อนครบวงจรผม (ประมาณ 2-6 ปี) แล้วเส้นผมที่ขึ้นมาใหม่ก็จะเป็นผมที่เส้นเล็ก ผมยังไม่ทันโตเป็นผมที่เส้นใหญ่แข็งแรง เส้นผมก็จะร่วงอีก นี้ถือว่าเป็นสัญญาณของรากผมที่เริ่มฝ่อตัวลง
ถ้าปล่อยให้รากผมฝ่อตัวลงไปเรื่อย ๆ ผมก็จะไม่ขึ้นมาอีก ทำให้ผมบางเพราะจำนวนผมมีน้อยลง พอบางมาก ๆ จนไม่เหลือเส้นผมในบริเวณนั้นแล้ว ก็จะเข้าสู่สภาวะหัวล้านนั่นเอง
อยากปลูกผม รักษาอาการผมร่วง ควรทำอย่างไร?
เมื่อเข้าสู่ภาวะหัวล้าน แนวผมด้านหน้าเถิกลึกเป็นรูปตัวเอ็ม หรือผมบางแบบกระจายเป็นวงกว้าง อันนี้แนะนำให้เข้ามาพบคุณหมอเพื่อประเมินแนวไรผมและทำการปลูกผมถาวรนะคะ อย่าปล่อยทิ้งไว้นานจนไม่สามารถทำการรักษาได้ ก่อนเข้ารับบริการปลูกผมถาวรเราต้องเข้าใจกันก่อนว่าหัวล้านมีกี่แบบที่สามารถปลูกผมกับคลินิกปลูกผมได้ เพราะการปลูกผมถาวรแต่ละครั้ง ถ้าเป็นไปได้อยากให้ลูกค้าเข้ามาพบคุณหมอเพื่อวัดขนาดพื้นที่ที่ต้องการปลูกและวาดแนวไรผมให้เหมาะกับสัดส่วนของใบหน้า

ที่สำคัญตัวลูกค้าจะได้ทราบด้วยว่าผมด้านหลังนั้นพอที่จะนำมาปลูกในบริเวณที่ล้านหรือไม่ เท่านั้นยังไม่พอถ้าเลือกคลินิกปลูกผมที่ได้มาตรฐานคุณหมอจะทำการคิดวิเคราะห์ราคาปลูกผมออกมาให้ลูกค้าดูต่อหน้าแบบเป็นจำนวนกราฟท์ ลูกค้าจะได้ทราบราคาเฉลี่ยว่าต่อพื้นที่ในการปลูกผมนั้นตกอยู่ที่ราคาเท่าไหร่กันแน่
สำหรับใครที่กำลังหาข้อมูลในการปลูกผมถาวรขอแนะนำคุณหมอแพตตี้ที่ Hairtran Clinic เพราะที่นี่เรามีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคอยให้คำปรึกษาไม่ว่าจะเป็นเรื่องเตรียมความพร้อมก่อนการทานยาปลูกผมหรือใช้เซรั่มบำรุงหนังศีรษะ รวมถึงการวิเคราะห์สัดส่วนของใบหน้าก่อนปลูกผม ปรึกษาฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้นแถมรับประกันอีกว่าปลูกผมไปแล้วในระยะเวลา 1 ปี ถ้าผมไม่ขึ้นยินดีปลูกให้ใหม่ไปเลยฟรี ๆ อีกด้วย
อ่านเรื่องน่าสนใจเพิ่มเติม :

สรุป ยาปลูกผม Minoxidil รักษาผมร่วงได้จริงไหม?
โดยสรุปแล้วในการใช้ยาปลูกผม Minoxidil เพื่อรักษาอาการผมร่วงหัวล้าน หรือการใช้ยาควบคู่ไปกับการปลูกผม ไม่ว่าจะด้วยการปลูกผมแบบ FUE หรือ FUT เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการปลูกผม ก็ล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยความอดทนและความสม่ำเสมอในการใช้ยา และต้องอาศัยเวลาเพื่อให้รากผมมีการเกิดใหม่และมีความแข็งแรงค่ะ
ถ้าหากเพื่อน ๆ ท่านใดมีอาการผมร่วงมากผิดปกติ ควรเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อให้แพทย์พิจารณาถึงสาเหตุและแนวทางการรักษาอย่างถูกต้องนะคะ อย่าหายามารับประทานหรือทาเองเพราะอาจทำให้ได้รับยาในปริมาณที่ไม่เหมาะสมตามที่แพทย์กำหนด อย่าลืมว่ายาทุกชนิดมีผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์หากมีการใช้งานที่ผิดพลาด ดังนั้นจึงควรใช้ยาภายใต้ความดูแลของแพทย์และเภสัชกรที่มีความรู้เท่านั้นค่ะ