ปลูกผม DHI ดีกว่า ปลูกผม FUE จริงไหม?

สารบัญบทความ

นิยามของเทคนิคปลูกผมตาม ISHRS (International Society of Hair Restoration Surgeon) จะแบ่งวิธีปลูกผมตามวิธีการนำรากผมออกจากร่างกาย (grafts excision) ซึ่งมีเพียงแค่ 2 วิธี ซึ่งก็คือแบบ FUT และแบบ FUE และปลูกผม FUE กับ DHI มีความต่างกันไหม

วีธีการปลูกผมแบบ FUT (Follicular Unit Transplant)

เป็นวิธีเก่าที่ยังมีการใช้กันอยู่ในปัจจุบัน การผ่าตัดด้วยวิธีนี้คือการตัดหนังศีรษะออกมาเป็นแผ่นยาว ๆ จากด้านหลังของศีรษะและนำมาคัดแยกแบ่งออกเป็นกอด้านนอกร่างกาย (dissection) ใต้กล้องจุลทรรศน์ กอผมที่ได้จากการคัดกราฟท์ลักษณะนี้ จะค่อนข้างสมบูรณ์แบบและได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อย (Transection rate ต่ำ) 

ปลูกผมเทคนิค FUT

การปลูกผมด้วยวิธีนี้แพทย์จะแนะนำต่อเมื่อประเมินดูด้วยสายตาแล้วว่าลูกค้าอาจจะมีโอกาสที่ต้องกลับมาปลูกซ้ำในบริเวณอื่นต่อ หรือจะต้องใช้จำนวนกราฟท์ที่เยอะมาก ๆ แพทย์ก็จะเเนะนำวิธีการปลูกผมแบบ FUT สำหรับคนที่มีศีรษะล้านหรือมีแนวโน้มที่จะมีศีรษะล้านมากว่าคนปกตินั่นเอง

ข้อเสียของการปลูกผมถาวรด้วยเทคนิค FUT คือการมีแผลเป็นยาวประมาณ 15-30 ซม. ระหว่างด้านหลังของหูด้านซ้ายจนถึงด้านหลังของหูด้านขวา และอาจเป็นแผลเป็นนูน (คีลอยด์) เกิดขึ้นตามมาก็เป็นได้แล้วแต่สภาพผิวหนังของแต่ละคน รวมไปถึงต้องใช้เวลาพักฟื้นนานกว่าการผ่าตัดปลูกผมแบบ FUE ลูกค้ายังต้องเสียเวลาวนกลับมาคลินิกหลายรอบเพื่อทำการตัดไหม การปลูกผมโดยวิธีการนี้จึงค่อนข้างยุ่งยาก

วีธีการปลูกผมแบบ FUE (Follicular Unit Excision)

เป็นการปลูกผมถาวรที่คนส่วนใหญ่ในยุคปัจจุบันนิยมกันมาก เพราะว่าการปลูกผมลักษณะนี้เป็นการเจาะกราฟท์ออกมาเป็นกอ ๆ พร้อมปลูกเลย วิธีการปลูกผม FUE จริง ๆ เกิดขึ้นมาหลาย 10 ปีแล้ว จึงมีคนผลิตและพัฒนาเครื่องเจาะกราฟท์ออกมาหลากหลายรูปแบบด้วยกัน หลัก ๆ จะมี 3 รูปแบบ คือ แบบ Motorized แบบ Manual และแบบ Robotic Arm

ปลูกผมเทคนิค FUE

แบบ Motorized จะเป็นเครื่องเจาะแบบมอเตอร์ ช่วยลดอาการบาดเจ็บของผิวหนังบริเวณศีรษะและรากผมได้ค่อนข้างดี เหมือนอย่างเช่นที่ Hairtran Clinic เราเลือกใช้เครื่องเจาะและหัวเจาะแบบ Hybrid ของ WAW FUE SYSTEM จากประเทศเบลเยียม ซึ่งการปลูกผมถาวรด้วยหัวเจาะนี้จะช่วยลดโอกาสสร้างความเสียหายให้กับเนื้อเยื่อรากผมได้ดีมากกว่าการใช้หัวเจาะแบบ Manual ทำให้กราฟท์ที่ได้ออกมาจากขั้นตอนนี้ค่อนข้างจะสมบูรณ์แบบมากกว่านั่นเอง

นั่นแปลว่า จากการเจาะกราฟท์ผม 100 กราฟท์ หุ่นยนต์จะเจาะพลาดเพียง 2-3 กราฟท์เท่านั้น ที่ Hairtran Clinic ยังไม่มีการใช้เครื่องเจาะชนิดนี้เพราะ Transection Rate ของทางคลินิกถือว่าเทียบเท่ากับหุ่นยนต์อยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนเครื่องมือที่จะทำให้ต้นทุนการปลูกผมเพิ่มขึ้น (ต้นทุนเพิ่ม ราคาขายก็จะเพิ่มตามนะคะ)

ข้อดีรวม ๆ ของการปลูกผมแบบ FUE คือแผลเล็กมาก (กว้าง 0.8-1 มม.) และเป็นการผ่าตัดที่ไม่เจ็บหรือเจ็บน้อย แถมไม่ทิ้งรอยแผลเป็นยาวให้เจ็บใจ ผลลัพธ์ที่ได้จากการปลูกผมถาวรลักษณะนี้จึงมีความเป็นธรรมชาติมากกว่าการปลูกผม FUT นอกจากนั้น การปลูกผมวิธีนี้ลูกค้าจะไม่ต้องพักฟื้นและแผลหายไวกว่าการผ่าตัดปลูกผมแบบเก่า ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน การปลูกผมแบบ FUE มีอัตราการรอดของผมมากกว่า 90% ซึ่งเทียบเท่ากับการปลูกผมแบบ FUT อีกด้วย

อ่านข้อมูลเกี่ยวกับปลูกผมเพิ่มเติมได้ที่ :

DHI (Direct Hair Implantation) คืออะไร?

ก่อนอื่นต้องรู้ก่อนว่าจริง ๆ แล้ว DHI (Direct Hair Implantation) เป็นชื่อทางการตลาดชื่อหนึ่งของเทคนิคการใช้ Implanter Pen ในการใส่กราฟท์ผมกลับเข้าไปในร่างกาย (graft placement) แทนการใช้ Forceps หรือคีมเล็ก ๆ ที่เราเคยเห็นกันโดยทั่วไป

ปลูกผมเทคนิค DHI

Implanter Pen คือ อุปกรณ์ที่มีรูปร่างคล้ายทรงกับปากกาและยังมีปลายที่เหมือนท่อโลหะเล็กๆ ยาวยื่นออกมาเพื่อเอาไว้ใส่รากผม ปัจจุบัน Implanter Pen ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการคลินิกปลูกผม เป็นเครื่องมือทางการแพทย์ชนิดหนึ่งที่ช่วยปกป้องรากผมไม่ให้ถูกทำลายหรือเสียหายเวลานำกราฟท์ปลูกกลับเข้าไปในตัวลูกค้า

เพราะวิธีนี้แพทย์จะไม่ต้องใช้เครื่องมือมาบีบรากผมตอนปลูกเลย โอกาสการขึ้นของผมจึงมีสูงกว่าการใช้คีม (Forceps) เพราะรากผมที่ถูกคัดแยกออกมาจะอยู่ในสภาพที่ไม่โดนทำร้าย เมื่อรากผมไม่บอบช้ำจากการโดน Forceps หนีบ เส้นผมก็จะมีโอกาสรอดสูงอีกด้วย

อ่านข้อมูลเพิ่มเติม : Implanter Pen แต่ละคลินิกเหมือนกันไหม?

ปลูกผมด้วย Implanter Pen

แพทย์ที่ Hairtran Clinic ได้เล็งเห็นว่าการปลูกผมกลับเข้าร่างกายด้วยเทคนิค DHI ถือว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดเพราะเป็นวิธีที่สามารถหลีกเลี่ยงการทำลายรากผมได้ และสามารถปลูกได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว ไม่ว่าจะปลูกผมแบบ FUT หรือ FUE ก็สามารถใช้ “เทคนิค DHI” ได้เหมือนกันนะคะ

“เทคนิค DHI จึงไม่ใช่เทคนิคใหม่อะไรของการปลูกผม เพราะประเภทของการปลูกผมตามนิยามของสมาคมปลูกผม ISHRS มีแค่ 2 วิธีตามที่กล่าวข้างต้น ดังนั้นเราไม่สามารถเปรียบเทียบ DHI กับ ปลูกผม FUE ได้”

อ่านข้อมูลเกี่ยวกับปลูกผมเพิ่มเติมได้ที่ :

ถ้าคุณกังวลเรื่องความแน่นของการใส่กราฟท์ ขอให้เข้าใจไว้เลยว่าความหนาแน่นของผมไม่ได้ขึ้นอยู่กับเทคนิคการปลูกผมอย่างเดียว แต่ต้องขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแพทย์ว่าจะใส่แน่นขนาดไหนด้วย โดยทั่วไปแล้วค่าเฉลี่ยที่ได้รับการยอมรับในคนเอเชียคือประมาณ 40-45 กราฟท์ต่อตารางเซนติเมตร

แต่ถ้าหากศีรษะล้านมากและผมที่เหลืออยู่มีน้อย การปลูกผมให้มีความหนาแน่นสูงอาจไม่ใช่คำตอบที่ดี ส่วนคนที่กำลังกังวลเรื่องขนาดของบาดแผลบริเวณที่ปลูกผม (recipient site) อยู่นั้น ขอให้มั่นใจได้เลยว่าขนาดของแผลจะขึ้นอยู่กับขนาดของ Implanter ที่ใช้ ไม่เกี่ยวว่าปลูกผมวิธีไหนคะ

หลังปลูกผม

ดังนั้น ลูกค้าท่านใดที่ตัดสินใจเข้ารับบริการปลูกผมถาวรที่ Hairtran Clinic แล้ว สามารถมั่นใจได้ว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ออกมาดูสวยเป็นธรรมชาติ ผมขึ้นจริง รวมถึงได้ใช้เครื่องมือที่ทันสมัยและมีความปลอดภัยสูงอีกด้วย

แชร์บทความนี้
Picture of พญ. ภัคภิญญา แจ้งเจ็ดริ้ว | HAIRTRAN CLINIC
พญ. ภัคภิญญา แจ้งเจ็ดริ้ว | HAIRTRAN CLINIC

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมปลูกผม ABHRS Certified | Full Member ISHRS
ประสบการณ์ฝึกอบรมจาก USA, Turkey, Malaysia, South Korea

ปรึกษาทุกปัญหาเรื่องผมได้ทุกวัน
หรือนัดหมายจองคิวล่วงหน้าได้ที่ :
Contact Form Service
ปลูกผม หมอแพตตี้

บทความที่เกี่ยวข้อง

ผมร่วงในผู้หญิง

อาการผมร่วงในผู้หญิง เกิดจากฮอร์โมนจริงไหม รักษาอย่างไรดี 

ทำความเข้าใจ อาการผมร่วงในผู้หญิง เกิดจากฮอร์โมนจริงไหม อาการเป็นอย่างไร รักษายังไงได้บ้าง พร้อมแนะนำ 5 วิธีปรับสมดุลฮอร์โมน เพื่อสุขภาพผมที่แข็งแรง
วิธีนอนหลังปลูกผม

วิธีนอนหลังปลูกผมที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันกราฟท์ผมหลุด

นอนผิดท่าอันตรายไหม? ทำให้กราฟท์ผมหลุดจริงหรือไม่? แนะนำวิธีนอนหลังปลูกผมที่ถูกต้อง เผยท่านอนที่ควรหลีกเลี่ยง เพื่อทำให้กราฟท์ผมติดแน่น ไม่หลุดง่าย
หลังปลูกผม โดนแดดได้ไหม

ปลูกผมห้ามโดนแดดได้ไหม? แชร์ 5 วิธีป้องกันแสงแดดปกป้องเส้นผม

ปลูกผมห้ามโดนแดดจริงไหม? แสงแดดมีผลต่อกราฟท์ผมหรือไม่? ต้องป้องกันอย่างไรเมื่อต้องออกกลางแจ้ง? เผย 5 วิธีป้องกันแสงแดดหลังปลูก เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
Scroll to Top